จากนโยบายภาษีนำเข้าฉบับใหม่ของสหรัฐฯ ภายใต้มาตรการ Reciprocal Tariff หรือมาตรการตอบโต้ทางภาษีที่ใช้กับประเทศคู่ค้าที่สหรัฐฯ เห็นว่าเก็บภาษีสินค้าสหรัฐฯ ในอัตราสูง ส่งผลให้ประเทศไทยกลายเป็นหนึ่งในประเทศที่ถูกจัดเก็บภาษีในอัตราใหม่ สูงถึง 37% มีผลตั้งแต่วันที่ 9 เมษายน 2568 เป็นต้นไป โดยมาตรการนี้ส่งผลต่อมูลค่าส่งออกไทยหลายหมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งอาจกระทบต่อยอดขาย การแข่งขัน และการส่งออกโดยรวมของไทยในตลาดอเมริกา
เปิดลิสต์ 15 สินค้าส่งออกไทยที่ได้รับผลกระทบโดยตรง
สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า กระทรวงพาณิชย์ ได้ระบุ 15 รายการสินค้าไทยที่มีความเสี่ยงสูง จากมาตรการภาษีใหม่นี้ โดยส่วนใหญ่เป็น สินค้ากลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ อุตสาหกรรมยานยนต์ อัญมณี และเครื่องใช้ไฟฟ้า ดังนี้
ลำดับ | สินค้า | มูลค่าส่งออกไปสหรัฐฯ ปี 2567 (ล้านดอลลาร์) |
---|---|---|
1 | โทรศัพท์มือถือ | 6,846 |
2 | ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ | 6,095 |
3 | ยางรถยนต์ | 3,513 |
4 | เซมิคอนดักเตอร์ | 2,472 |
5 | หม้อแปลงไฟฟ้า | 2,088 |
6 | ชิ้นส่วนอุปกรณ์การพิมพ์ | 1,501 |
7 | ชิ้นส่วนรถยนต์ | 1,404 |
8 | อัญมณีและเครื่องประดับ | 1,387 |
9 | เครื่องปรับอากาศ | 1,273 |
10 | กล้องถ่ายรูป | 1,107 |
11 | เครื่องพรินเตอร์ | 1,053 |
12 | วัตถุดิบอาหารสัตว์ | 870 |
13 | แผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ | 861 |
14 | ข้าว | 797 |
15 | ตู้เย็น | 742 |
วิเคราะห์ผลกระทบ
- ต้นทุนเพิ่มขึ้นทันที 37%: ราคาขายสินค้าไทยในตลาดสหรัฐฯ จะสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
- สูญเสียความสามารถในการแข่งขัน: สินค้าไทยอาจถูกแทนที่ด้วยสินค้าจากประเทศที่ไม่ถูกขึ้นภาษี
- กระทบผู้ประกอบการไทยโดยตรง: โดยเฉพาะกลุ่ม SMEs และโรงงานผลิตที่พึ่งพาตลาดสหรัฐเป็นหลัก
- เสี่ยงสูญเสียรายได้จากการส่งออก: เฉพาะ 15 รายการนี้ มีมูลค่ารวมกว่า 30,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี
รัฐไทยเตรียมรับมือยังไง?
กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงการต่างประเทศ เตรียมเจรจาและวางแนวทางตอบโต้หรือลดผลกระทบ โดยอาจใช้มาตรการทางการทูต เศรษฐกิจ และส่งเสริมตลาดใหม่เพื่อกระจายความเสี่ยง
สรุป
การบังคับใช้ มาตรการภาษีสหรัฐ Reciprocal Tariff ถือเป็นความท้าทายใหญ่ของการส่งออกไทยในปี 2568 โดยเฉพาะสินค้าเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมหนักที่มีสหรัฐเป็นตลาดหลัก รัฐและผู้ประกอบการจำเป็นต้องเร่งปรับตัว หาตลาดใหม่ และวางแผนรับมือเพื่อลดผลกระทบจากสงครามการค้าในระลอกนี้อย่างเร่งด่วน