วิเคราะห์ปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อการเคลื่อนไหวของราคาทองคำในตลาดโลก ซึ่งเป็นผลกระทบที่ซับซ้อนจากตลาดการเงินสหรัฐฯ
1. แรงหนุนให้ทองคำปรับตัวขึ้น (ปัจจัยเชิงบวกต่อราคาทอง)
ราคาทองคำมักปรับตัวขึ้นเมื่อตลาดมีความกังวลหรือเมื่อดอลลาร์อ่อนค่าลง:
- ดอลลาร์อ่อนค่าลง: ดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ปรับตัวลงมาที่ 99.47 หน่วย จากเดิม 100.16 หน่วย ซึ่งการอ่อนค่าของดอลลาร์ทำให้ราคาทองคำซึ่งซื้อขายด้วยสกุลเงินดอลลาร์มีราคาถูกลงสำหรับผู้ถือเงินสกุลอื่น เป็นการหนุนให้ราคาทองสูงขึ้น
- ความไม่แน่นอนในตลาดแรงงาน: ข้อมูลจาก ADP Research ชี้ให้เห็นว่ามีการ เลิกจ้างงานโดยเฉลี่ย 11,250 ตำแหน่งต่อสัปดาห์ ซึ่งเป็นสัญญาณของความอ่อนแอในตลาดแรงงาน
- ความวิตกต่อ Fed: การประกาศลาออกของนาย ราฟาเอล บอสติก (ประธาน Fed สาขาแอตแลนตา) ก่อนครบวาระ และความวิตกกังวลว่าประธานาธิบดีอาจพยายามเข้ามามีอิทธิพลใน Fed ทำให้ตลาดยังคงมีความกังวลเกี่ยวกับ ความไม่แน่นอนของนโยบายการเงินในอนาคต
2. ปัจจัยที่ยังคงทรงตัว/กดดัน (ปัจจัยเชิงลบต่อราคาทอง)
- บอนด์ยีลด์ทรงตัวสูง: อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปี ยังคงทรงตัวอยู่ที่ระดับ 4.08% ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับสูง ทำให้การถือครองพันธบัตรยังคงเป็นทางเลือกที่ให้ผลตอบแทนดีกว่าการถือครองทองคำ (ซึ่งไม่ให้ผลตอบแทน)
- การถือครอง SPDR: กองทุน SPDR Gold Trust (กองทุนทองคำใหญ่ที่สุดในโลก) ยังคงถือครองทองคำ เท่าเดิม ที่ 1,046.36 ตัน แสดงว่ายังไม่มีการซื้อหรือขายออกครั้งใหญ่ในทันทีจากนักลงทุนสถาบันรายใหญ่
3. 🇺🇸 ประเด็นการเมืองสหรัฐฯ ที่ตลาดจับตา
- กฎหมายงบประมาณชั่วคราว: ตลาดยังจับตาการลงมติในสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ หลังจากวุฒิสภาได้ผ่านร่างกฎหมายไปแล้ว โดยคาดว่าสภาฯ จะอนุมัติร่างกฎหมายดังกล่าวด้วยคะแนนเสียงที่เฉียดฉิว (พรรครีพับลิกันครองเสียงข้างมาก 219-213) ซึ่งหากผ่านจะช่วย หลีกเลี่ยงภาวะชัตดาวน์ ของรัฐบาล
สรุปและแนวโน้มราคาทอง
ปัจจัยหลักที่หนุนราคาทองคำในภาพรวมคือ การอ่อนค่าของเงินดอลลาร์ และ ความกังวลต่อความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและนโยบาย Fed ที่สะท้อนผ่านตัวเลขการเลิกจ้างงานและการลาออกของผู้บริหาร Fed ในขณะที่บอนด์ยีลด์ทรงตัวสูงยังเป็นแรงกดดันอยู่บ้าง